เป็นโรคที่มีผลกระทบต่อประชากรทั้งโลกในอันดับต้นๆ กล่าวคือมีประชากรที่ต้องพิการหรือทุกข์ทรมานจากโรคนี้ รวมถึงมีอัตราการตายสูงที่สุดโรคหนึ่ง อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจแล้วว่าอาการของโรคนี้เกิดขึได้เสมอหากผู้ป่วยมีความเครียดหรือความโกรธที่ฉับพลันและรุนแรง มีผู้เสนอว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหรือมีอาการเหล่านี้มักมีบุคลิกภาพที่ชอบการแข่งขัน มีการตอบสนองต่อสถานการณ์รอบด้านแบบรุนแรง มีความทะเยอทะยาน ไขว่คว้า ตั้งความคาดหวังสูง และมีพื้นอารมณ์แบบหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ลักษณะทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ในทางจิตวิทยารวมเรียกว่า “บุคลิกภาพแบบ A” (Type A Personality) ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตามมามากมาย เช่น ความดันโลหิตสูงขึ้น ระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ILDU และไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) สูง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงต่อ การเกิดรอยโรคที่หลอดเลือดของหัวใจทั้งสิ้น
โรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืด (Peptic Ulcer)
ในอดีตเชื่อว่าโรคนี้เกิดจากภาวะที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป แต่ในปัจจุบันพบว่าร้อยละ 95.99 ของผู้ป่วยโรคนี้มีการติดเชื้อแบคทีเรีย H.pylori ทั้งในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้แผลในกระเพาะอาหารไม่หายไป ดังนั้นการใช้ยาต้านจุลชีพ 2-3 ขนานควบคู่กัน ร่วมไปกับยาลดกรดและยาในกลุ่มต้านฮีสตามีน จะทำให้แผลในกระเพาะอาหารหายไวขึ้น และมีอัตราการหายขาดจากโรคมากกว่าการรักษาแบบดั้งเดิม ซึ่งความเครียดและความวิตกกังวล จะส่งผลทั้งเพิ่มปริมาณการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดลงจนง่ายต่อการติดเชื้อ H.pylori มากขึ้น
โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)
การทดสอบด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการของโรคนี้ มักเป็นผู้ที่มีความวิตกกังวลสูง ขาดความเชื่อมั่น ชอบโทษตนเอง ต้องการการสนับสนุนและกำลังใจ และอาจพบร่วมกับอาการเจ็บป่วยทางกายอื่นๆ (ที่ไม่สามารถอธิบายในทางการแพทย์) ได้อีก เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง อาการชาหรืออ่อนแรงที่ไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น และเมื่อมีความเครียดผู้ป่วยก็จะเกิดอาการนี้มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความสนใจและการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้างมากขึ้นตามไปด้วย
โรคหอบหืด (Asthma)
30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยหอบหืดสามารถพบเป็นโรคแพนิค (Panic Disorder) ร่วมด้วยได้ ภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคหอบหืดมักเกิดจากความทุกข์ทรมานด้านจิตใจที่ต้องเผชิญกับความเรื้อรังของโรค ความอับอายในการเจ็บป่วยและการรักษา นำมาสู่ความสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งทั้งสองภาวะนี้ล้วนส่งผลให้อาการของโรคหอบหืดเลวร้ายลง ดังนั้นเมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบเป็นประจำ การมองหาปัจจัยเสี่ยงทางจิตใจหรือโรคทางจิตเวชที่อาจพบร่วมได้ หรือผลข้างเคียงของยาแก้หอบหืด (ที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายโรคแพนิค) และทำการรักษาแก้ไข นอกเหนือจากการให้ยาขยายหลอดลม อาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น