วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

`ฟลูออไรด์`ภัยเงียบในน้ำดื่ม น้ำใช้



          ขณะนี้วงการทันตกรรมกำลังเป็นกังวลกับ "ภาวะฟันตกกระ" ที่พบในเด็กเจนเนอเรชั่น ใหม่ สูงขึ้นหลายเท่าตัวโดยมีสาเหตุมาจากการอุปโภคบริโภคน้ำดื่ม น้ำใช้ในปัจจุบัน ที่มีปริมาณ "ฟลูออไรด์" เกินมาตรฐาน ซึ่งสวนทางกับระบบสาธารณูปโภคในภาพรวมของประเทศที่พัฒนาขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
          โดยปัญหาที่เกิดขึ้น ทตญ.สุรัตน์ มงคลชัยอรัญญา ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัยผู้ที่ลงพื้นที่ไปศึกษาปัญหาสุขภาพในช่องปากของประชากรไทยทั่วประเทศ เปิดเผยว่า ในทางทันต กรรมจะใช้ฟลูออไรด์ในการรักษาโรคฟันผุ ด้วยการกลั้วในช่องปากและบ้วนทิ้งเท่านั้น ไม่ได้อนุญาตให้ดื่มกินเด็ดขาด เพราะเมื่อเข้าสู่ร่างกายด้วยการรับประทานจะเกิดการย่อยสลายและเกิดการแตกตัวดูดซึมไปตามอวัยวะต่าง ๆ ลักษณะเหมือนกับการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายตามปกติ แต่เป็นอันตรายกับระบบในร่างกายคนเราโดยเฉพาะกลุ่มกระดูกและแคลเซียม
          จากการศึกษาวิจัยในต่างประเทศพบว่าประเทศจีน และอินเดียมีปัญหาผู้ป่วยกระดูกงอกทับเส้นประสาทเยอะมาก เอ็นยึดเดินไม่ได้ อันเป็นผลมาจากการได้รับฟลูออไรด์เข้าสู่ร่างกายมากเกินไป ส่วนในประเทศไทยมีการ ศึกษาเมื่อ 30 ปีก่อนพบผู้ป่วยใน จ.เชียงใหม่ที่รับประทานน้ำที่มีฟลูออไรด์สูงทำให้กระดูกผิดปกติ เกิดอาการปวดกระดูกปวดขามากกว่า ต้องรับยาแก้ปวดตลอดและมีผลกระทบบั่นทอนสุขภาพไปตลอดชีวิต หลังจากนั้นยังไม่มีการศึกษาต่ออย่างจริง ๆ จัง ๆ อีกเลย
          สำหรับผลกระทบจากการได้รับฟลูออไรด์เข้าสู่ร่างกายมากเกินไปที่พบในกลุ่มคนไทยภาวะ "ฟันตกกระ" หรือการสร้างตัวเองไม่สมบูรณ์จนเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างฟัน สีของฟัน ฟันสั้น การบดเคี้ยวไม่ดี โดยเฉพาะฟันหน้าไม่สวย โดยหากอาการไม่รุนแรงก็อาจจะพบลายสีเส้นสีขาวตัดกับสีของเนื้อฟันจริง ๆ ถ้ารุนแรงขึ้นมาอีกหน่อยจะเป็นสีน้ำตาลเข้มในเนื้อฟัน และถ้าเป็นรุนแรงเนื้อฟันกะเทาะได้ง่าย ๆ เมื่อเคี้ยวหรือกัดของแข็ง ๆ
          อย่างที่บอกว่าฟลูออไรด์จะทำให้การสร้างตัวเองของฟันไม่สมบูรณ์นั่นหมายความว่าจะพบในเด็กอายุประมาณ 6 ขวบที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนจากฟันน้ำนมไปเป็นฟันแท้ กว่ากระบวนการสร้างฟันแม้จะเสร็จสมบูรณ์ทั้งช่องปากเด็กจะมีอายุราว ๆ 12 ขวบ ปัจจุบันพบภาวะฟันตกกระในเด็กไทยสูงขึ้นประมาณ 6 เท่าตัว และกระจายไปในหลาย ๆ พื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ เช่น จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน จ.ลำปาง ภาคกลางที่ จ.สุพรรณบุรี จ.นครปฐม จ.เพชรบุรี ภาคใต้ จ.สงขลา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นต้น ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังพบได้น้อย
          จากการสอบสวนโรคพบว่าได้รับฟลูออไรด์เข้า สู่ร่างกายปริมาณมากจากการใช้น้ำประปาหมู่บ้านที่มีปริมาณฟลูออไรด์สูงเกิน 0.7 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งค่ามาตรฐานที่กำหนด บางพื้นที่พบ 4-5 มิลลิกรัมต่อลิตร โดยเฉพาะ จ.ฉะเชิงเทราพบฟลูออไรด์ในน้ำประปาสูงถึง 12 มิลลิกรัมต่อลิตร ฟลูออไรด์ทำให้ฟันสร้างตัวเองไม่ครบ เหมือนกับอวัยวะคนเราที่เมื่อสร้างตัวไม่สมบูรณ์จะมีลักษณะหงิกงอ
          ฟลูออไรด์ สามารถพบได้ตามธรรมชาติ ทั้งดิน หิน น้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นภูเขา มีบ่อน้ำพุร้อน พวกน้ำบาดาลจะมีฟลูออไรด์เยอะมาก เยอะกว่าแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ปัญหาคือการประปาหมู่บ้านหลายๆ แห่งในประเทศไทยไม่สามารถหาแหล่งน้ำธรรมชาติมาทำน้ำประปาสำหรับใช้ในชุมชนได้ จนต้องใช้น้ำบาดาลมาทำน้ำประปาแจกจ่ายชาวบ้านและก็อาจจะเป็นที่ความเชื่อด้วยว่าน้ำประปาที่ใส ๆ สามารถดื่มได้ คนไทยจึงไม่นิยมต้มน้ำดื่ม หรือมีระบบเครื่องกรอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ฟลูออไรด์ไม่มีสี กลิ่นรส ไม่มีทางรู้เลย และไม่สามารถทำให้หมดไปด้วยการต้มน้ำให้เดือด
          เพราะฉะนั้นอยากให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่มีฟลูออไรด์สูงเกินมาตรฐานมาดื่มกิน หรือนำมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะใช้ชงนมให้เด็กรับประทานนั้นยิ่งเสี่ยงให้เกิดภาวะฟันตกกระมากเพราะวัยเด็กคือวัยที่มีการสร้างกระดูกและฟันแท้กำลังสร้างตัวเอง และต้องระวังมากในกลุ่มคนที่เป็นโรคไต
          อย่างไรก็ตามในการป้องกันตัวเองเบื้องต้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการรับประทานแคลเซียม นม เพราะตัวแคลเซียมที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็นปลาเล็กปลาน้อย หรือนมจะเป็นประจุบวก ส่วนฟลูออไรด์เป็นประจุลบ จะวิ่งเข้าหากันแล้วจับในร่างกายของเรา ช่วยให้ร่างกายดูดซึมเข้าร่างกายลดลง และควรออกมารับวิตามินดีจากแสงแดดยามเช้า ยามเย็นให้มาก ๆ

           ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดย ทตญ.สุรัตน์ มงคลชัยอรัญญา 
           ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ขอขอบคุณสาระดี ๆ จาก http://www.thaihealth.or.th/

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กินอาหารเพื่อสุขภาพให้เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคไต


โรคไตเป็นโรคที่เกิดขึ้นจาก พฤติกรรมการกินโปรตีนที่มากเกินไป เพราะไตซึ่งมีหน้าที่เผาผลาญโปรตีนและขับของเสียดังกล่าวออกมาซึ่งมันจะทำ งานหนักมากยิ่งขึ้น วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าการกินอาหารเพื่อสุขภาพให้เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคไต นั้นมีอะไรบ้าง หรือใครยังไม่ป่วยเป็นโรคไตก็สามารถคุมพฤติกรรมการกินอย่างเหมาะสมเพื่อ ป้องกันโรคตั้งแต่เนิ่นๆ ได้เช่นเดียวกัน
1.กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
ผู้ป่วยโรคไตควรกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมถึงผักผลไม้ นมและคาร์โบไฮเดรตเพื่อสุขภาพ เนื่องจากอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการเหล่านี้จะช่วยชะลอระยะการเสื่อมของ ไตได้
2.กินอาหารที่ให้โปรตีนน้อยลง
เนื่องจากไตมีหน้าที่เผาผลาญโปรตีน หากเรากินโปรตีนมาก ไตก็จะยิ่งทำงานหนักมากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาโรคไตควรหันมากินโปรตีนน้อยลงจะดีกว่า เพื่อช่วยยืดอายุไตให้ทำงานยาวนานยิ่งขึ้น


3.จำกัดปริมาณอาหารที่ให้โซเดียม
ควรกินอาหารที่ให้โซเดียมน้อยลงหรือหลีกเลี่ยงได้จะยิ่งดีมาก เช่น เครื่องปรุงรสต่างๆ และอาหารหมักดองเค็ม หันมาใช้เครื่องเทศ สมุนไพร น้ำมะนาวและน้ำตาลในการปรุงรสอาหารแทนจะดีกว่า
4.จำกัดอาหารที่ให้ฟอสฟอรัสสูง
ได้แก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เมล็ดพืช ไข่แดง เครื่องในสัตว์ นม โยเกิร์ต ช็อกโกแลตและเครื่องดื่มน้ำอัดลมพวกโคล่า
5.จำกัดอาหารที่ให้โพแทสเซียมสูง
ได้แก่ ผักสีเขียวเข้ม ผักสีเหลือง ผลไม้ที่ให้โพแทสเซียมสูง หันมากินอาหารที่ให้โพแทสเซียมน้อยแทนและควรลวกผักให้สุกก่อนกินทุกครั้ง
6.การดื่มน้ำ
ผู้ป่วยโรคไจร่างกายจะบวมน้ำมาก อีกทั้งการขับปัสสาวะในผู้ที่เป็นไตเรื้อรังนั้นจะทำงานได้น้อยลงด้วย เพื่อไม่เป็นการรบกวนการทำงานของไตหนักมากเกินไป ค่อยๆ จิบน้ำให้ได้วันละ 3-4 แก้วจะดีกว่า แต่หากไม่มีอาการบวมน้ำก็สามารถดื่มน้ำตามปกติได้

7.รับพลังงานอย่างเพียงพอ
ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะเผาผลาญมากกว่าการสร้าง สำหรับอาหารที่ให้ไขมันนั้นควรเป็นไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันรำข้าวในการปรุงอาหาร ควรเลี่ยงไขมันจากสัตว์ กะทิและอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง อีกทั้งควรนำแป้งโปรตีนต่ำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน อย่างเหมาะสม
8.การกินขนมหวาน
ผู้ป่วยโรคไตบางรายมีภาวะของโรคเบาหวานร่วมด้วย ดังนั้น จึงไม่ควรกินขนมหวาน เพราะน้ำตาลในเลือดจะมีระดับขึ้นสูง แต่สำหรับบางรายที่ไม่เป็นโรคเบาหวานก็สามารถกินขนมหวานได้ค่ะ แต่ควรเลี่ยงขนมประเภทกะทิ ขนมอบที่มีส่วนผสมของเนย เนื่องจากมีสารจำพวกฟอสเฟต(ฟอสฟอรัส)สูง ซึ่งเป็นสารต้องห้ามในผู้ป่วยโรคไตนั่นเอง
เพียงเท่านี้ การกินอาหารในผู้ป่วยโรคไตเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยชะลอไม่ให้ไตเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควรก็เป็นไปได้แล้วค่ะ ดังนั้นแล้ว อย่าลืมหันมาใส่ใจอาหารการกินเพื่อสุขภาพดังที่เราแนะนำกันเป็นประจำนะคะ สุขภาพแข็งแรงจะได้เป็นของคุณอย่างยาวนานตลอดไป

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สาหร่ายวากาเมะช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือ?

        สาหร่ายวากาเมะ จัดเป็นสาหร่ายสีน้ำตาลชนิดหนึ่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Undaria pinnatifida ซึ่งเป็นสาหร่ายที่พบในประเทศญี่ปุ่น โดยพบว่าในสาหร่ายวากาเมะนั้น มีสารอาหาร ต่างๆ มากมายทั้งโปรตีน โพลิแซคคาไรด์ เกลือแร่ วิตามินและยังมีไขมันในปริมาณน้อย ใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้ นอกจากนั้นยังมีสารอื่นๆ อีก เช่น ฟูโคแซนทิน (Fucoxantin) ซึ่งในปัจจุบันมีการศึกษาถึงผลของสารชนิดนี้มากมาย หนึ่งในนั้นคือ ฤทธิ์ในการต้านการเกิดความอ้วน

        ฟูโคแซนทินเป็นสารแคโรตินอยด์ (carotenoid) ซึ่งเป็นสารที่ให้สีส้ม แดง หรือเหลือง ชนิดหนึ่ง ที่พบเป็นปริมาณมากในสาหร่ายสีน้ำตาลรวมทั้งในสาหร่ายวากาเมะด้วย โดย Maeda และคณะพบว่ากลไกในการเกิดฤทธิ์ในการต้านการเกิดความอ้วนนั้นเกิดจากการที่ฟูโคแซนทินกระตุ้นให้มีการสร้าง uncoupled protein-1 (UCP-1) ในเซลล์ไขมันสีขาว (White adipose tissue) ซึ่งปกติ UCP-1 นั้น จะมีหน้าที่ในการสลายไขมันเพื่อทำให้เกิดความร้อนในร่างกายโดยจะสามารถพบ UCP-1 ได้มาก ในเซลล์ไขมันสีน้ำตาล (brown adipose tissue) ซึ่งมีจำนวนน้อยในร่างกายคน โดย UCP-1 พบได้น้อย ในเซลล์ไขมันสีขาวซึ่งพบเป็นส่วนมากในร่างกายมนุษย์


        ดังนั้นการเพิ่ม UCP-1 จึงทำให้มีร่างกายมีการสลายไขมันมากขึ้น นอกจากนั้น Maeda และคณะยังได้ศึกษาในหนูทดลองโดยในให้หนูทดลองกินอาหารที่มีไขมันสูงแล้วแบ่ง เป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับฟูโคแซนทินและกลุ่มที่ไม่ได้รับฟูโคแซนทินโดย ติดตามน้ำหนักของหนูทดลองเป็นเวลา 5 สัปดาห์ พบว่าในกลุ่มหนูที่ได้รับฟูโคแซนทินมีน้ำหนักขึ้นน้อยกว่ากลุ่มหนูที่ไม่ได้รับฟูโคแซนทิน และพบว่ากลุ่มที่ได้รับฟูโคแซนทินมีน้ำหนักที่ใกล้เคียงกับหนูที่เป็นกลุ่มควบคุมที่ได้รับอาหารในแบบปกติอีกด้วย

       อย่างไรก็ตามแม้จะมีการศึกษาในสัตว์ทดลองที่พบว่าฟูโคแซนทินอาจมีกลไกที่อาจ มีส่วนช่วยในการลดความอ้วน แต่ก็ยังไม่มีการศึกษาในคนทำให้ไม่ทราบกลไกนี้เกิดขึ้นจริงในคนหรือไม่ และหากเกิดขึ้นได้จริงจะต้องรับประทานสาหร่ายวากาเมะ หรือสารสกัดฟูโคแซนทิน ในปริมาณเท่าใด และเป็นเวลานานเพียงใดจึงจะสามารถลดความอ้วนในคนได้ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าสาหร่ายวากาเมะนั้นช่วยลดน้ำหนักในคนได้จริงหรือไม่

       แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังสามารถนำสาหร่ายวากาเมะมารับประทานได้ เพราะเป็นแหล่งอาหารที่ดี มีไขมันน้อยและสามารถใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนได้




วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เฝ้าระวัง `ไข้หวัดนก` ทุกสายพันธุ์ช่วงฤดูหนาว


นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงนี้มีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดไข้หวัดนก โดยเฉพาะสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 เนื่องจากหลายพื้นที่อากาศหนาวเย็น และเริ่มมีนก อพยพหนีสภาพอากาศหนาวจากต่างประเทศมาอยู่ไทย อาจนำเชื้อมาแพร่ได้ และในปี 2557 ยังพบผู้ป่วยในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง จึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

          อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานการพบเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 8 โดยไทยพบเพียงสายพันธุ์เอช 5 เอ็น1 (H5N1) ในช่วงปี 2546-2549 และไม่พบอีกเลยจนถึงขณะนี้
          ทั้งนี้ ได้มอบให้กรมควบคุมโรคและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเฝ้าระวังโรคทั้งในคนและในสัตว์ร่วมกับกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เน้นหนักจังหวัดที่เคยพบสัตว์ปีกหรือคนติดเชื้อไข้หวัดนก และจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไทย-ลาว และไทย พม่า โดยให้ดำเนินการเฝ้าระวังทั้งในชุมชน และในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถตรวจจับโรคได้อย่างรวดเร็ว หากพบผู้ป่วยที่มีอาการในข่ายสงสัยให้สอบสวนโรค ซักประวัติการสัมผัสสัตว์ปีกทุกราย และเก็บตัวอย่างส่งตรวจ ส่วนในสัตว์ปีกให้ อสม.ร่วมกับปศุสัตว์จังหวัด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชเฝ้าระวังการป่วย ตายผิดปกติในสัตว์ปีกที่เลี้ยงตามบ้านเรือนและธรรมชาติ หากพบให้เก็บซากสัตว์ปีกส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการทันทีและแจ้งหน่วยงานสาธารณสุข
          นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รายงานผลการเฝ้าระวังขององค์การอนามัยโลกซึ่งพบว่า จนถึงปัจจุบันมีเชื้อไข้หวัดนกที่สามารถแพร่เชื้อมายังคนได้ 7 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) เอช 5 เอ็น 2 (H5N2) เอช 10 เอ็น 8 (H10 N 8) เอช 7 เอ็น 5(H7N5) เอช 7 เอ็น7 (H7N7) เอช 7 เอ็น 9 (H7N9) และเอช 5 เอ็น 8 โดยที่รุนแรงที่สุดคือสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 ซึ่งมักทำให้ผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวม ระบบหายใจล้มเหลว
          ขณะนี้ยังพบในประเทศต่างๆทั่วโลกทั้งในคนและสัตว์อย่างต่อเนื่อง ยอดผู้ป่วยยืนยัน ตั้งแต่ปี 2546-2557 มีทั้งหมด 668 ราย เสียชีวิต 393 ราย ใน16 ประเทศ เฉพาะในปี 2557 มีรายงานป่วย 19 ราย เสียชีวิต 8 รายใน 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา จีน อียิปต์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม
          ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขต้องขอความร่วมมือประชาชนทุกคนให้ยึดหลักปฏิบัติในการป้องกันโรคไข้หวัดนก ห้ามนำสัตว์ปีกที่ตายแล้วหรือกำลังมีอาการป่วยมาชำแหละเพื่อจำหน่ายหรือรับประทาน หรือนำไปให้สัตว์อื่นกินอย่างเด็ดขาด เนื่องจากหากสัตว์ปีกติดเชื้อไข้หวัดนก ผู้ชำแหละจะติดเชื้อจากการสัมผัสสารคัดหลั่งได้ หากพบสัตว์ปีกเสียชีวิตผิดปกติขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หากจำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ปีก ให้สวมถุงมือหรือถุงพลาสติกและล้างมือฟอกสบู่ทุกครั้งหลังจากสัมผัสสัตว์ปีก หากมีอาการคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ เช่นมีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และเคยสัมผัสสัตว์ปีกหรือผู้ป่วยปอดบวม ให้รีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการสัมผัสโรค หรือแจ้งประวัติการเดินทาง

ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก http://www.thaihealth.or.th/


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สมุนไพรกินต้านมะเร็งเต้านม ของดีพื้นบ้านที่ผู้หญิงไม่ควรพลาด!

หากพูดถึงมะเร็งเชื่อว่าหลายคนเป็นต้องกลัวกันอย่างมาก โดยเฉพาะมะเร็งในผู้หญิง หลักๆ ก็คือ มะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก สำหรับวันนี้เราจะมาชวนสาวๆ กินสมุนไพรต้านมะเร็งกันค่ะ และมะเร็งที่ว่านั้นก็คือ โรคมะเร็งเต้านมนั่นเอง มาดูกันเลยนะคะว่าสมุนไพรไทยพื้นบ้านมีอะไรบ้างนะที่สามารถกินต้านมะเร็งเต้านมได้อย่างดีเยี่ยม


พริก
ด้วยสรรพคุณเป็นอาหารทางยาทำให้หลายคนหันมากินพริกกันมากขึ้น เพราะมันมีสารแคปไซซินที่มีส่วนช่วยในการฆ่าเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้พริกแล้วยังพบสารดังกล่าวในพริกไทยอีกด้วยนะคะ เพราะฉะนั้น ใครไม่ชอบความเผ็ดจากพริกมากจะหันมาเหยาะพริกไทยลงบนอาหารแทนบ้างก็ได้เช่นกันค่ะ

กระเทียมและหอม
สาวๆ รู้มั้ยคะว่าผักสองชนิดนี้มี ‘สารออร์กาโนซัลเฟอร์’ ซึ่งมาพร้อมความโดดเด่นก็คือ กลิ่นฉุน ..ที่ทำเอาคุณมักบ่ายหน้าหนีบ่อยๆ นั่นเอง แต่เห็นกลิ่นฉุนแบบนี้เราปฏิเสธมันไม่ได้ซะแล้วนะคะ เพราะมันคือ คุณสมบัติชั้นเยี่ยมที่มีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะในกระเทียมที่สามารถต่อต้านมะเร็งได้สูง นอกจากนี้ ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ต่อต้านการนำพาสารมะเร็งที่เกิดจากสารเคมีต่างๆ ได้ ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ด้วยค่ะ เมนูอาหารจานหน้ามาเสิร์ฟหากเห็นหอมและกระเทียมก็ห้ามเขี่ยทิ้งและร้องยี้กันเด็ดขาดนะคะ


ขิงและข่า
สารเคมีจากธรรมชาติที่พบในข่ามันสามารถกระตุ้นเอนไซม์กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรสได้นะคะ โดยสารดังกล่าวจะมีหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระจึงสามารถป้องกันมะเร็งได้นั่นเอง พร้อมกันนี้ ควรหันมากินสมุนไพรในตระกูลเดียวกันอย่างขิงบ้าง เพราะขิงก็มีสาร 6-จินเจอรอลที่ออกฤทธิ์ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและทำหน้าที่ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ดีเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้ว พลาดการกินทั้งขิงและข่าสุดยอดสมุนไพรพื้นบ้านนี้ไปคงไม่ได้แล้วนะคะสาว


ขมิ้นและพริกไทยดำ
ขมิ้นไม่ได้มีไว้แค่ปรนนิบัติผิวพรรณให้สวยผุดผ่องเป็นยองใยแต่เพียงเท่านั้นนะจ๊ะ เพราะมันมีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกในเต้านมได้ดีเช่นกันกับพริกไทยดำนั่นเอง


>>> ไม่น่าเชื่อเลยนะคะสมุนไพรไทยเราหลายชนิดดังที่กล่าวมานั้น ล้วนมาพร้อมคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งลดการเจริญเติบโตของเซลล์ ช่วยฆ่าเซลล์ให้ตายลงได้และช่วยต่อต้านการนำพาสารเคมีอันเป็นตัวการเกิดโรคมะเร็งมาสู่ร่างกายเราได้อีกด้วย เรียกว่าครบถ้วนและมากมายด้วยคุณสมบัติมากถึงเพียงนี้ ใครไม่หันมากินสมุนไพรต้านมะเร็งเต้านมบ้าง พลาดแล้วน่าเสียดายแย่นะคะ

" คะน้า " แหล่งวิตามินและใยอาหารต่อต้านมะเร็ง
        คะน้าหรือคานา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brassica alboglabra ชาวจีนเป็นผู้นำเมล็ดพันธุ์เข้ามาปลูกในประเทศไทย คนไทยนิยมนำมาทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้า เพราะยอดคะน้ากรอบอร่อย หากปลูกด้วยวิธีเกษตรอินทรีย์จะได้คะน้ารสไม่ขม สีเขียวเข้ม และมีสารอาหารครบถ้วน

         ผักชนิดนี้มีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีปริมาณสูง เมื่อกินเข้าไป ร่างกายจะย่อยและนำเบต้าแคโรทีนไปสร้างวิตามินเอ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การกินคะน้า 100 กรัม จะได้รับวิตามินเอ 9,300 ไอยู ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ กระเพาะอาหาร ปอด ลำคอ และกระเพาะปัสสาวะ

        ไม่เพียงแต่มีวิตามินเอสูงเท่านั้น คะน้ายังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ไนอะซิน ใยอาหาร เหล็ก วิตามินบี 1 และบี 2 สูง ช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดอาการท้องผูก ช่วยให้สายตาดี บำรุงกระดูกและฟัน

         ผู้ทดลองปลูก ระหว่างคะน้ากำลังเติบโต พบว่า มีศัตรูพืชมารบกวนเยอะมาก วิธีป้องกันแมลงเหล่านั้นคือ สับพริกขี้หนู 1 กำมือ ใบมะกรูด 7 ใบ และเปลือกมะนาว 2 ลูก เข้าด้วยกันจนละเอียด จากนั้นนำไปแช่น้ำ 1 ลิตร ทิ้งไว้ 10 ชั่วโมง กรองเอาแต่น้ำไปใช้รดผัก

         ประโยชน์ที่ได้การปลูกผักกินเองคือ ขัดเกลาจิตใจให้อ่อนโยนและได้ผักปลอดสารพิษบำรุงสุขภาพค่ะ

คะน้า

มือใหม่หัดปลูกคะน้า

   ดินผสมกับขุยมะพร้าว อัตราส่วน 4 ต่อ 1 ใส่ลงในตะกร้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 20 x 30 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่ม
   ใช้ไม้กดเป็นร่องลึก 1 เซนติเมตรตามแนวยาวของตะกร้า ประมาณ 3-4 แถว
   โรยเมล็ดคะน้า 5-10 เมล็ดลงไปในแต่ละร่องเกลี่ยดินกลบบางๆ รดน้ำทุกวันเช้าและเย็น ประมาณ 4-5 วัน ต้นกล้าคะน้าจะมีใบเลี้ยง 2 ใบ
   แยกต้นกล้าลงปลูกในกระบะปลูกผัก ใช้ดินผสมปุ๋ยหมัก อัตราส่วน 3 ต่อ 1
   รดน้ำเบาๆ นำกระบะปลูกผักไปตั้งไว้ในที่แสงแดดส่องรำไร 4-6 วัน จากนั้นจึงยกกระบะไปตั้งในบริเวณที่แสงแดดส่องถึงในช่วงเวลา 7.00 น. – 11.30 น.
   ตัดคะน้ากินได้หลังจากปลูก 40-45 วัน



10 โรคป่วยกายจากป่วยใจ โรคที่เกิดจากความเครียดหรือข้อขัดแย้งในจิตใจ

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischemic Heart Disease)

     เป็นโรคที่มีผลกระทบต่อประชากรทั้งโลกในอันดับต้นๆ กล่าวคือมีประชากรที่ต้องพิการหรือทุกข์ทรมานจากโรคนี้ รวมถึงมีอัตราการตายสูงที่สุดโรคหนึ่ง อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจแล้วว่าอาการของโรคนี้เกิดขึได้เสมอหากผู้ป่วยมีความเครียดหรือความโกรธที่ฉับพลันและรุนแรง มีผู้เสนอว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหรือมีอาการเหล่านี้มักมีบุคลิกภาพที่ชอบการแข่งขัน มีการตอบสนองต่อสถานการณ์รอบด้านแบบรุนแรง มีความทะเยอทะยาน ไขว่คว้า ตั้งความคาดหวังสูง และมีพื้นอารมณ์แบบหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ลักษณะทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ในทางจิตวิทยารวมเรียกว่า “บุคลิกภาพแบบ A” (Type A Personality) ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายตามมามากมาย เช่น ความดันโลหิตสูงขึ้น ระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ILDU และไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) สูง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงต่อ การเกิดรอยโรคที่หลอดเลือดของหัวใจทั้งสิ้น

โรคความดันโลหิตสูง ไม่ทราบสาเหตุ (Essential Hypertension)

       ภาวะที่มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ (ความดันโลหิตตัวบนหรือ Systolic สูงตั้งแต่ 140 มม. ปรอทขึ้นไป หรือความดันโลหิตตัวล่างหรือ Diastolic สูงตั้งแต่ 90 มม. ปรอทขึ้นไป) อย่างต่อเนื่อง โดยกว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยในทางการแพทย์ ไม่สามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงได้


       มีการวิจัยพบว่าส่วนใหญ่ของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงมักมีประวัติโรคนี้ในครอบครัว และมีลักษณะบุคลิกภาพแบบเคร่งครัดในระเบียบกฎเกณฑ์ ใส่ใจรายละเอียดมาก ให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบ ความสะอาดและความยุติธรรม ตั้งความคาดหวังไว้สูง ปรารถนาที่จะควบคุมสถานการณ์ให้ได้ดี โดยมักมีท่าทีเป็นมิตร โดยเก็บงำความรู้สึกไม่พอใจหรือความรู้สึกด้านลบไว้ภายใน ไม่สื่อสารหรือแสดงออกให้คนอื่นรับรู้ จนกว่าจะถึงจุดหนึ่งที่ทนไม่ไหวจึงระบายความเกรี้ยวกราดหรืออารมณ์ด้านลบออกมาเป็นครั้งคราว ซึ่งก็จะทำให้เกิดความรู้สึกผิดตามมา

       แนวทางการรักษาคือใช้ยาลดความดันโลหิตเป็นหลัก ร่วมกับการทำจิตบำบัดหรือให้คำปรึกษา เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีการดำเนินชีวิตให้มีความยืดหยุ่นและผ่อนคลายมากขึ้น ผ่านเทคนิคการฝึกผ่อนคลาย รวมไปถึงปรับลดความคาดหวังลงให้เหมาะสม สอดคล้องและมีความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

โรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืด (Peptic Ulcer)

       ในทางการแพทย์เป็นที่ยอมรับมานานแล้วว่าอาการและโรคนี้มีความสำคัญใกล้ชิดกับโรคเครียดแบบวิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder) ซึ่งมีลักษณะวิตกกังวลง่าย คิดมาก มักกังวลหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น กระสับกระส่าย หงุดหงิดง่าย สมาธิความจำแย่ลง นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าง่าย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัวหรือปวดตึงกล้ามเนื้อบ่อยๆ รวมถึงอาการของระบบประสาทอัตโนมัติไวกว่าปกติ (ใจสั่น หายใจไม่สะดวก เหงื่อออกง่าย ท้องไส้ปั่นป่วน เวียนศีรษะ) โดยหลายการวิจัยสนับสนุนว่าความเครียดหรือความกังวลนี้ทำให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัวของกระเพาะอาหารผิดปกติ ร่วมกับรายงานทางการแพทย์ที่สรุปว่า เมื่อบุคคลต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความเครียดที่รุนแรงเช่น บุคคลใกล้ชิดเพิ่งเสียชีวิตไป เพิ่งเกษียณอายุราชการ จะมีอาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืดมากกว่าคนทั่วไป


       ในอดีตเชื่อว่าโรคนี้เกิดจากภาวะที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป แต่ในปัจจุบันพบว่าร้อยละ 95.99 ของผู้ป่วยโรคนี้มีการติดเชื้อแบคทีเรีย H.pylori ทั้งในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้แผลในกระเพาะอาหารไม่หายไป ดังนั้นการใช้ยาต้านจุลชีพ 2-3 ขนานควบคู่กัน ร่วมไปกับยาลดกรดและยาในกลุ่มต้านฮีสตามีน จะทำให้แผลในกระเพาะอาหารหายไวขึ้น และมีอัตราการหายขาดจากโรคมากกว่าการรักษาแบบดั้งเดิม ซึ่งความเครียดและความวิตกกังวล จะส่งผลทั้งเพิ่มปริมาณการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดลงจนง่ายต่อการติดเชื้อ H.pylori มากขึ้น

       การรักษาด้วยยาตามที่ระบุเพียงเท่านั้นจึงอาจไม่เพียงพอ ในการรักษาหรือป้องกันโรค และภาวะนี้ในระยะยาวได้ การฝึกผ่อนคลาย เพิ่มทักษะในการแก้ไขจัดการปัญหา และรูปแบบการทำจิตบำบัดที่เหมาะสม จะทำให้ผู้ป่วยปลอดจากอาการดังกล่าวได้นานกว่าผู้ที่รับประทานยารักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารเพียงอย่างเดียว

โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)

       อาการของโรคมักแสดงออกมาในลักษณะท้องผูกสลับท้องเสีย ปวดท้อง และมีลมในระบบทางเดินอาหารมากอย่างเรื้อรัง โดยไม่สัมพันธ์กับชนิดและมื้อของอาหาร การติดเชื้อในทางเดินอาหาร หรือผลจากการใช้ยาบางขนิด ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ระบบทางเดินอาหารมากกว่าร้อยละ 50 มีอาการของโรคนี้ และกว่าร้อยละ 30 มีสมาชิกในครอบครัวที่มีอาการของโรคนี้ร่วมด้วยเช่นกัน



       การทดสอบด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการของโรคนี้ มักเป็นผู้ที่มีความวิตกกังวลสูง ขาดความเชื่อมั่น ชอบโทษตนเอง ต้องการการสนับสนุนและกำลังใจ และอาจพบร่วมกับอาการเจ็บป่วยทางกายอื่นๆ (ที่ไม่สามารถอธิบายในทางการแพทย์) ได้อีก เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง อาการชาหรืออ่อนแรงที่ไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น และเมื่อมีความเครียดผู้ป่วยก็จะเกิดอาการนี้มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความสนใจและการดูแลเอาใจใส่จากคนรอบข้างมากขึ้นตามไปด้วย

       บางงานวิจัยได้แยกผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่มตามความผิดปกติด้านสรีรวิทยา คือกลุ่มที่มีอาการท้องเสียเป็นหลัก และกลุ่มที่มีอาการท้องผูกเป็นหลัก ซึ่งพบว่าผู้ป่วยในกลุ่มที่มีอาการท้องเสียเป็นหลักมีระดับความเครียดในจิตใจ ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าสูงกว่าผู้ป่วยในกลุ่มที่มีอาการท้องผูกเป็นหลัก

       การรักษาโรคนี้จึงจำเป็น้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน ทั้งการใช้ยาในระบบทางเดินอาหารเพื่อปรับสมดุลการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ เพื่อบรรเทาอาการท้องผูกและท้องเสีย การควบคุมชนิดของอาหาร การฝึกผ่อนคลายควบคู่กับเทคนิค Biofeedback กาาทำจิตบำบัดเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหรือการใช้ยาด้านเศร้าทั้งในกลุ่ม Tricycles เช่น Amitriptyline, Nortriptyline และกลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors : SSRIs เช่น Sertraline, Fluoxetine ร่วมกับการปรับเปลี่ยนการตอบสนองต่ออาการนี้โดยคนรอบข้างของผู้ป่วย ให้มีการแสดงความสนใจในอาการนี้ของผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

โรคหอบหืด (Asthma)

       มีการพิสูจน์แล้วว่าอาการของโรคเกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน แต่ก็มีข้อสังเกตว่าผู้ป่วยโรคนี้มักมีลักษณะเก็บกดความโกรธและไม่สามารถแสดงความอยากพึ่งพิงผู้อื่นออกมาได้ ทางกดดันทางอารมณ์ดังกล่าวถูกส่งผ่านระบบประสาทอัตโนมัติและระบบภูมิคุ้มกันจนเกิดอาการหอบหืดขึ้นมา



       30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยหอบหืดสามารถพบเป็นโรคแพนิค (Panic Disorder) ร่วมด้วยได้ ภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคหอบหืดมักเกิดจากความทุกข์ทรมานด้านจิตใจที่ต้องเผชิญกับความเรื้อรังของโรค ความอับอายในการเจ็บป่วยและการรักษา นำมาสู่ความสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งทั้งสองภาวะนี้ล้วนส่งผลให้อาการของโรคหอบหืดเลวร้ายลง ดังนั้นเมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบเป็นประจำ การมองหาปัจจัยเสี่ยงทางจิตใจหรือโรคทางจิตเวชที่อาจพบร่วมได้ หรือผลข้างเคียงของยาแก้หอบหืด (ที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายโรคแพนิค) และทำการรักษาแก้ไข นอกเหนือจากการให้ยาขยายหลอดลม อาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้

         ทั้ง 10 โรคทางกายที่ัป็นผลจากจิตใจดังกล่าว แม้จะมีรอยโรคหรือพยาธิสภาพทางกายเกิดขึ้นจริง แต่การใช้ยาเพียงเพื่อรักษาอาการทางกายเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจมิติด้านสภาพจิตใจจะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาด้อยลงไป ดังนั้นการรักษาที่เหมาะสมควรจะรวมการปรับเปลี่ยนรักษาด้านจิตใจ สังคมและการเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

"ลมหนาว" มาแล้ว ระวังป่วยไข้หวัดใหญ่


          ช่วงนี้สภาพอากาศของประเทศไทยเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวกันแล้ว โดยเฉพาะทางภาคเหนือและอีสาน ทั้งยอดดอย ยอดภู ได้สัมผัสบรรยากาศทะเลหมอกกันแล้ว ขณะที่คนเมืองกรุงก็ได้ซึบซับอากาศเย็นแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ กับระบบทางเดินหายใจ คือ โรคไข้หวัดใหญ่ ล่าสุด มีคำเตือนจากกรมอนามัย ที่ห่วงใยในสุขภาพคนไทยช่วงหน้าหนาว โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุเสี่ยงเจ็บป่วยง่าย
          ดร.นพ.พระเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงฤดูหนาวอากาศเริ่มเย็นลง ทำให้เสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะคนไทยกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุควรดูแลสุขภาพร่างกายเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจและไข้หวัดใหญ่ เพราะหากเกิดในช่วงหน้าหนาวอาจกลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบและโรคปอดบวมได้ โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ จากรายงานสถานการณ์ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-13 ตุลาคม 2557 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 56,280 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 87.83 ต่อประชากรแสนคน โดยมีอาการของคนเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ เมื่อมีอาการควรนอนพักผ่อนให้มาก ดื่มน้ำบ่อยๆ ถ้าตัวร้อนมากควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือกินยาลดไข้อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ภายใน 2-7 วัน แต่หากมีการไอมากขึ้น หรือมีไข้สูงนานเกิน 2 วัน ควรไปพบแพทย์
          ทั้งนี้ ดร.นพ.พรเทพ กล่าวว่า การสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญด้วยการออกกำลังกายซึ่งสามารถทำได้สม่ำเสมอ อาทิ เดินเร็ววิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน เล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง รำมวยจีน หรือทำงานบ้าน กวาด ถูบ้าน เป็นการเริ่มต้นออกกำลังกาย ควรเริ่มจากเบาๆ ระยะเวลาน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ เพื่อร่างกายปรับตัว จากนั้นจึงเพิ่มความแรงหรือความหนักและการออกกำลังกายในแต่ละครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องหนักและเหนื่อยมาก จนรู้สึกหายใจเร็ว และไม่ต้องถึงกับหอบ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที ก็เพียงพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะประเภทผัก และผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง จะมีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคระบบทางเดินหายใจและป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ อีกทั้งควรกินอาหารปรุงสุก อุ่นให้ร้อน เพื่อเพิ่มอุณหภูมิความร้อนให้กับร่างกายเพื่อคลายหนาวได้อีกทางหนึ่ง ทำให้มีสุขภาพที่ดีตลอดไป
          "สำหรับคุณแม่มือใหม่ต้องดูแลลูกเป็นพิเศษ เพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจทำให้ลูกปากแห้งแตก จึงควรให้ลูกดื่มนมจากเต้าบ่อยๆ วันละ 6-8 ครั้ง เนื่องจากนมแม่เป็นสารอาหารที่สำคัญและสร้างภูมิคุ้มกัน และต้านทานโรคที่ดีที่สุดให้กับทารก ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบทางเดินหายใจอีกทั้งยังกำจัดเชื้อโรคแบคทีเรียและไวรัสที่ติดอยู่บนเยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ยากขึ้น และในช่วงที่แม่ให้นมลูกอ้อมกอดของแม่จะช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับลูกด้วย ส่วนผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงได้ควรยืดเส้นยืดสายเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายก่อนอาบน้ำ และสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด" อธิบดีกรมอนามัยกล่าวในที่สุด

ขอขอบคุณสาระดี ๆ จาก www.thaihealth.or.th ด้วยนะคับ ^^

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การรักษาโรคภูมิแพ้ แบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งยา

ยาแก้แพ้ทำให้ผมกลายเป็นซอมบี้เพราะอดนอน 
                                  มีการรักษาแบบธรรมชาติวิธีไหนบ้างที่ผมควรลองจ๊?


           คุณไม่ได้มีทางเลือกแค่สองทาง คือยอมกินยาแล้วนอนไม่หลับ หรือทนทุกข์กับอาการภูมิแพ้ต่อไป เราได้คัดสรร 5 แนวทางการรักษาตามธรรมชาติซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ให้ทุเลาลงได้ โดยที่คุณไม่ต้องทรมานกับผลข้างเคียงที่ตามมา แน่นอนว่าวิธีรักษาโรคภูมแพ้ที่ดีที่สุดและไม่ต้องใช้ยาเลยก็คือ การแก้ที่ต้นเหตุโดยหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ในสหรัฐฯ มีแอพฯ สำหรับอัพเดตข้อมูล เกี่ยวกับละอองเกสรดอกไม้ในอากาศ ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดมาไว้ในมือถือได้แล้ว (pollen.aaaai.org) เพื่ิอคุณจะได้เช็คข้อมูลว่าอากาศนอกบ้านปลอดภัยหรือเต็มไปด้วยละอองเกสร ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายที่คุณมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ถ้าช่วงไหนคุณรู้ว่าอากาศไม่ดี มีละอองเกสรปนเปื้อนอยู่มาก ให้ปิดหน้าต่างแล้วเปิดแอร์อยู่ในบ้านและควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งด้วย

โรคภูมิแพ้

วาซาบิแก้คัดจมูก

       ใครจะเชื่อว่านอกจากวาซาบิจะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังเป็นพระเอกที่มาช่วยเคลียร์จมูกคุณให้หายใจคล่องได้อีกด้วย งานวิจัยจากญี่ปุ่นพบว่าสาร 6-MSITC ในวาซาบิสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งสารเคมีซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เยื่อจมูกอักเสบจนเราหายใจลำบาก ถ้าคุณไม่ชินกับวาซาบิให้ลองใส่ในแซนด์วิชโรสต์บีฟทีละน้อยๆ ก่อนก็ได้

วาซาบิ


เทรดมิลล์ลดอาการจาม


           เอาชนะน้ำมูกที่ไหลไม่ยอมหยุดด้วยการวิ่งบนเทรดมิลล์ งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่จัดทำในเมืองไทยของเราพบว่า ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่วิ่งออกกำลังกาย 30 นาที จะมีอาการจาม น้ำมูกไหล คันจมูก และคัดจมูกลดลง 83 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นการออกกำลังจนเหงื่อออกยังช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้อีกด้วย


ประคบเย็น + ยาหยอดตา บรรเทาอาการคันตา

       ลองทำทั้งสองอย่างนี้ แล้วอาการคันยิบๆ ที่ดวงตาจะทุเลาลง นักวิจัยในอังกฤษพบว่าการรักษาด้วยสูตรนี้ช่วยบรรเทาอาการแพ้ ที่ส่งผลกระทบต่อดวงตาได้ เริ่มต้นด้วยการหยอดตาด้วยยา Blink Contacts Lubricating Eye Drops เพื่อลดความเข้มข้นของสารก่อภูมิแพ้ในดวงตา จากนั้นให้ใช้เจลแพ็คแช่แข็งประคบสักห้านาที เพื่อลดอาการบวม


ล้างจมูกให้โล่ง

       งานวิจัยของมหาวิทยาลัยวิสคอนชินยืนยันว่าการใช้ชุดล้างจมูก (Neti Pot) จะช่วยทำให้โพรงจมูกสะอาดขึ้นได้ เพราะสามารถล้างน้ำมูกออกมาได้หมดจด เริ่มต้นด้วยการผสมน้ำเกลือล้างจมูกโดยใช้เกลือชนิดที่ไม่เสริมไอโอดีน 1 ช้อนชา ผงฟู 1/2 ช้อนชา และน้ำกลั่นอุ่นๆ 2 ถ้วยตวง นำน้ำเกลือที่ได้มาล้างจมูกสัปดาห์ละสามครั้ง

สาหร่ายสไปรูลินาป้องกันภูมิแพ้

       สาหร่ายชนิดนี้สามารถต้านอาการอักเสบได้ การศึกษาวิจัยของตุรกีพบว่า คนที่รับประทานสาหร่ายสไปรูลินาวันละ 2,000 มิลลิกรัม นานเป็นเวลาหกเดือน จะมีอาการจามและน้ำมูกไหลลดลง เราแนะนำสาหร่ายสไปรูลินาแบบออร์แกนิก ของ Swanson

มีข่าวมาประชาสัมพันธ์จ้า ^___^"

มีข่าวมาประชาสัมพันธ์จ้า ^___^"



คณะบริหารธุรกิจ ขอเชิญเข้าร่วมประกวดในโครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมเทิดพระเกียรติ วันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2557 ณ ลานศิลปวัฒนธรรม ลานโถง อาคาร 50 ปี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ โดยงมีการแข่งขันประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง การแข่งขันคัดลายมือเทิดพระเกียรติ การแสดงด้านศิลปวัฒธรรม การประกวดมัลติมิเดียเทิดพระเกียรติ
โดยสามารถ Download ใบสมัครประเภทต่างๆได้ที่

http://www.rmutk.ac.th/index.php…

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

"เนื้อแดง" ความอร่อยที่แฝงด้วยโรคร้าย

"เนื้อแดง" ความอร่อยที่แฝงด้วยโรคร้าย



👂ได้ยินกันมาหลายครั้งแล้วว่าเนื้อแดงไม่ดีต่อสุขภาพ ลองมาดูโทษของเนื้อแดงกันให้ดีขึ้น ใครที่ชอบกินอาหารที่ทำจากเนื้อแดงต้องระวังให้ดี

เราอาจจะได้ยินกันมานักต่อนักแล้วว่าการรับประทานอาหารที่ทำมาจากเนื้อแดงนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพหัวใจ เพราะเนื้อแดงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ อย่างเช่นโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ว่ามันส่งผลเสียให้กับเราได้อย่างไรล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำทุกท่านไปคลายข้อสงสัยนี้ด้วยการนำข้อมูลการวิจัยดี ๆ ที่ค้นคว้าโดย Cleveland Clinic จากเว็บไซต์ mindbodygreen.com  มาบอกต่อให้คนรักเนื้อรู้กันค่ะ ใครที่ชอบรับประทานเนื้อแดงเป็นชีวิตจิตใจละก็ ระวังตัวได้แล้วค่ะ

          นอกจากนี้แบคทีเรียบางชนิดในระบบทางเดินอาหารยังใช้แอลคาร์นิทีนเป็นแหล่งพลังงาน ด้วยการย่อยสลายแอลคาร์นิทีนแล้วทำให้เกิดเป็นของเสียที่ชื่อ trimethylamine (TMA) ซึ่งตับของคนเราจะแปลงเจ้าสารชนิดนี้นี้ให้กลายเป็นสารอีกตัวที่ชื่อ trimethylamine-N-oxide หรือ TMAO ซึ่งสารชนิดนี้  เป็นตัวการสำคัญที่เร่งให้ร่างกายกักเก็บไขมันชนิดที่ไม่ดีมากขึ้น และสะสมไว้ไม่ถูกทำลายโดย macrophage (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) จนกระทั่งเกิดการจับหนาตัวขึ้นภายในผนังหลอดเลือดแดง เกิดเป็นภาวะหลอดเลือดแข็งตัวที่เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจ



           ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยก็ไม่ควรรับประทานอาหารที่ทำมาจากเนื้อแดงมากเกินไป เพราะคงอีกนานกว่านักวิทยาศาสตร์จะสามารถหาวิธียับยั้งเอนไซม์วายร้ายเหล่านั้นได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบรับประทานเนื้อแดงมาก ๆ จนเลิกยากละก็ ควรจะรับประทานผักใบเขียวให้มากขึ้นเพื่อทีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้จะได้มากขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงได้ค่ะ

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

4 อาหารอัพสมองให้สบายในยามบ่าย คิดอะไรก็เวิร์ก !!

4 อาหารอัพสมองให้ใสในยามบ่าย คิดงานอะไรก็เวิร์ก !

พอตกบ่าย ร่างกายหลายคนก็เริ่มอ่อนล้า ง่วงเหงาหาวนอน นั่งจับเจ่าอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่นานก็คิดงานไอเดียเจ๋ง ๆ ไม่ออกสักที เป็นแบบนี้คงต้องหาตัวช่วยมาอัพสมองให้ใสปิ๊งภายในเวลาไม่กี่นาทีกันแล้วล่ะค่ะ อาหารต่อไปนี้คือตัวช่วยแก้ง่วงได้ดีทีเดียว ใครง่วง ๆ ในช่วงบ่าย คิดอะไรไม่ออกแล้ว รีบไปหามาทานเติมพลังด่วนเลย

1,ดาร์กช็อกโกแลต
       คงเป็นข้ออ้างให้คุณสาว ๆ ได้กินขนมบนโต๊ะได้แล้วสินะ เพราะดาร์กช็อกโกแลตเป็นตัวช่วยชั้นเยี่ยมให้การฟื้นฟูพลังสมองได้เวิร์กมาก ๆ ตัวหนึ่งเลยล่ะ เนื่องจากมันมีฟลาโวนอยด์ตัวที่จะไปช่วยส่งเลือดให้ไหลไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น และรวดเร็วด้วย ทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวภายในเวลาไม่นาน แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานยาก ๆ ได้อีก
2.ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ด
       เวลาทานอะไรรสเปรี้ยว ๆ จะรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหมล่ะ แล้วสักพักก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก็เพราะผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ด อย่าง ส้ม สับปะรด เกรปฟรุต นั้น มีวิตามินซี ที่จะช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียดและความกังวล นอกจากนี้ ในผลไม้รสเปรี้ยวยังมีแร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระอีกไม่น้อยที่จะไปช่วยทำให้เลือดในสมองไหลเวียนได้ดีขึ้น กระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวแบบทันใจ ถ้าสมองตื้อขึ้นมาดื้อ ๆ รีบหาผลไม้เปรี้ยวจี๊ดเข้าปากเลยค่ะ



3.น้ำเปล่า
                 แค่น้ำเปล่าก็ช่วยเติมพลังสมองได้แล้วจริง ๆ อ่ะ? อ้าว...ก็จริงสิจ๊ะ เพราะอย่างที่รู้กันว่า ร่างกายเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 70% แล้วถ้าเราไม่ดื่มน้ำ หรือดื่มน้ำน้อยไป อวัยวะส่วนต่าง ๆ จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรล่ะจริงไหม
          ...สมองก็เช่นกัน มีงานวิจัยพบว่า หากในแต่ละวันเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้คุณมีสมาธิน้อยลง แถมยังมีความจำแย่ลงด้วย เพราะฉะนั้น วางขวดน้ำหรือแก้วน้ำไว้ติดโต๊ะทำงานเสมอ แล้วหมั่นยกขึ้นมาจิบบ่อย ๆ สมองจะได้ไม่ขาดน้ำอันไปมีผลทำให้ร่างกายเฉื่อยชาลงนั่นเองจ้า


4.กาแฟ/ชา
     บ่ายแก่ ๆ ทีไร เห็นเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศลุกขึ้นมาชงชา ชงกาแฟดื่มแก้ง่วงกันหลายคนเลย ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีที่ช่วยแก้ง่วงได้ผล เพราะคาเฟอีนในชาและกาแฟจะช่วยเติมพลัง ทำให้ร่างกายตื่นตัวขึ้นได้จริง

>>> ถ้าไม่อยากง่วงเหงาหาวนอน อ่อนเพลียเหนื่อยล้าในช่วงบ่าย ก็ขอแนะนำว่า ไม่ควรทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมันมากเกินไปในมื้อเที่ยง ไม่งั้นมีสิทธิ์งีบหลับได้แน่ ๆ ค่ะ เพราะเลือดส่วนใหญ่จะต้องไหลลงไปเลี้ยงกระเพาะอาหารเพื่อย่อยอาหาร ทำให้พลังสมองลดลงจนง่วงซึมนั่นเอง